วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ คุณรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง? เพราะการดีท็อกซ์ลำไส้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม แม้ว่าเราจะมีการขับถ่ายอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่ของเสียที่อยู่ในลำไส้หรือเกาะอยู่ตามผนังลำไส้นั้น จะไม่สามารถขับของเสียออกมาได้ทั้งหมด ดังนั้นการดีท็อกซ์ลำไส้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนจะเป็นต้องทำ เพราะหากเมื่อไหร่ที่ลำไส้ของเรามีสุขภาพที่ดี จะส่งผลให้ร่างกายและระบบการทำงานต่าง ๆ ภายในร่างกายมีสุขภาพดีตามไปด้วย

ซึ่งการดีท็อกซ์ลำไส้ในปัจจุบันจะสามารถทำได้หลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การสวนล้างลำไส้เพื่อดีท็อกซ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีกากใยสูง การรับประทานอาหารเสริมดีท็อกซ์ยี่ห้อที่ดีที่สุด รวมทั้งการอดอาหารเพื่อดีท็อกซ์ด้วยเช่นกัน รับรองได้เลยว่าการดีท็อกซ์จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มคุณภาพของระบบขับถ่ายได้อย่างแน่นอน

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ ด้วยการสวนล้างลำไส้ทำอย่างไรบ้าง?

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ ด้วยการสวนล้างลำไส้ทำอย่างไรบ้าง?

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ ด้วยการสวนล้างลำไส้นั้นจะเป็นการดีท็อกซ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากหลาย ๆ คนเชื่อกันว่า วิธีการสวนล้างลำไส้ถือเป็นการดีท็อกซ์ที่ช่วยขจัดของเสียในลำไส้ของเราได้ดีที่สุด เพราะการดีท็อกซ์ด้วยวิธีสวนล้างลำไส้จะเป็นวิธีการล้างพิษโดยการสวนล้างด้วยน้ำบริสุทธิ์ หรือน้ำที่มีประจุแร่ธาตุ เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยขจัดของเสีย และสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย และลำไส้ของเราได้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ของเสียต่าง ๆ ที่เกาะอยู่ตามผนังลำไส้ และร่างกายของเราไม่สามารถขับถ่ายออกมาได้ แต่การดีท็อกซ์จะช่วยให้ของเสียเหล่านั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย

แต่ถ้าหากเราไม่ดีท็อกซ์ล้างของเสียเหล่านั้นออกมา นอกจากจะทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหาแล้ว ยังก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หรือโรคภูมิแพ้เรื้อรัง มีปัญหาเรื่องการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ซึมเศร้า โรคผิวหนัง และโรคทางเดินอาหารอีกด้วย ดังนั้นการดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยการสวนล้างลำไส้ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี และสามารถนำของเสียที่ติดค้างอยู่ในลำไส้ และผนังลำไส้ออกมาได้ทั้งหมด

และหากเราดีท็อกซ์ด้วยวิธีสวนล้างลำไส้แล้ว ยังให้ประโยชน์แก่ร่างกายของเราได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย รวมทั้งสารพิษต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายให้ออกไปได้ไม่ยาก ช่วยบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ให้กลับมาแข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยผลักดันของเสียให้ออกจากร่างกายได้ไม่ยาก อย่างเช่น กากอาหารและอุจจาระออกจากลำไส้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เกิดสารพิษหรือสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ในร่างกาย

รวมทั้งช่วยกระตุ้นการตอบสนองของระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลือง และระบบการหมุนเวียนของเลือดด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากร่างกายและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างปกติ จะช่วยเพิ่มคุณภาพให้แก่ร่างกายได้มากกว่าเดิม

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ ด้วยการสวนล้าง สามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ ด้วยการสวนล้าง สามารถทำได้บ่อยแค่ไหน?

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้แบบธรรมชาติ หรือ Colon Detox จะเป็นการดีท็อกซ์แบบสวนลำไส้ ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนเมื่อได้ยินแบบนี้แล้วต้องไม่กล้าทำอย่างแน่นอน เพราะกลัวว่าจะเจ็บหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งจะต้องบอกเลยว่าการดีท็อกซ์สวนลำไส้จะเป็นวิธีดีท็อกซ์ทางการแพทย์ ที่จะไม่มีอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน แต่จะต้องกระทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

เพราะหากทำด้วยตนเองจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย ทั้งนี้การดีท็อกซ์ด้วยวิธีนี้ จะสามารถทำได้ในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น หากใครที่มีโรคประจำตัวหรือมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนดีท็อกซ์ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในภายหลัง

ทั้งนี้ การดีท็อกซ์ด้วยวิธีสวนลำไส้ จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะท้องผูก ท้องเสีย การขับถ่ายไม่เป็นเวลา ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเกิดผดผื่นได้ง่าย เพราะดีท็อกซ์ลำไส้จะเข้าไปช่วยขจัดของเสีย และสารพิษต่าง ๆ ที่ค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป โดยดีท็อกซ์ทำทุกวันได้ไหม ซึ่งจำนวนครั้งของการทำดีท็อกซ์ในช่วงแรก ๆ จะสามารถทำดีท็อกซ์ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อให้ลำไส้ขับถ่าย และนำของเสียที่สะสมอยู่ออกจากร่างกายได้อย่างสม่ำเสมอ

และเมื่อร่างกายของเราสามารถปรับตัวกับระบบการขับถ่ายที่ต่อเนื่องได้มากขึ้นแล้ว จะสามารถเปลี่ยนจำนวนครั้งในการดีท็อกซ์มาเป็นเดือนละครั้งได้ แต่หากใครที่มีอาการท้องผูกควรทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ประมาณ 3 ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้เมื่อเราดีท็อกซ์ด้วยการสวนลำไส้แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาท้องผูกหรือมีปัญหาในเรื่องระบบขับถ่ายอีก

โดยเราควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญกับร่างกายมากที่สุด เพื่อช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการงดรับประทานอาหารหนักท้อง หรืออาหารที่ย่อยยาก อย่างเช่น เนื้อสัตว์ เป็นต้น แต่ควรหันมารับประทานอาหารที่ให้โปรตีนย่อยง่าย อย่างเช่น กุ้ง ปลา หรือไข่ทดแทน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถทำงานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และควรออกกำลังกายในทุก ๆ วัน และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายจะสามารถทำงานได้ดีในช่วงที่เรานอนหลับ

ทำไมถึงจำเป็นต้องดีท็อกซ์ล้างลำไส้?

ทำไมถึงจำเป็นต้องดีท็อกซ์ล้างลำไส้?

เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องสงสัยในเรื่องการทำดีท็อกลำไส้ ด้วยตัวเองอย่างแน่นอนว่าสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้จะต้องบอกเลยว่า การดีท็อกซ์ล้างลำไส้จะมีวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีกากใยสูง รวมทั้งการรับประทานอาหารเสริมเพื่อช่วยดีท็อกซ์ แต่หากเป็นการดีท็อกซ์ด้วยการสวนลำไส้ จะไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เพราะจะก่อให้เกิดความอันตราย และเกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแบคทีเรียในลำไส้ได้นั่นเอง

ดังนั้นหากใครต้องการดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยการสวนล้างลำไส้ จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ดีเสียก่อน เพื่อล้างลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้หากใครที่ยังสงสัยอีกว่า ทำไมเราถึงต้องดีท็อกซ์ลำไส้ หากเราไม่มีปัญหาในเรื่องการขับถ่าย หรือไม่ได้เป็นโรคท้องผูก ซึ่งในส่วนนี้จะต้องบอกเลยว่า โดยปกติแล้วเรารับประทานอาหารทั้งข้าวขัดขาว น้ำตาล เนื้อสัตว์ และไขมันต่าง ๆ อย่างมากมาย

และเมื่ออาหารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยต่าง ๆ แล้ว จะไม่เหลือกากอาหารเพียงพอให้ถูกขับถ่ายออกมาจากร่างกาย จนนานวันเข้าอาหารจะถูกสะสมไปเรื่อย ๆ จนเกาะกันเป็นตะกรันบนผนังลำไส้ได้ ทำให้เกิดเป็นของเสียและสารพิษที่ค้างอยู่ในร่างกายนั่นเอง ดังนั้นเมื่อร่างกายของเรามีของเสียหรือสารพิษสะสมอยู่ในทุก ๆ วัน จะปิดกั้นประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหาร รวมทั้งการกีดขวางไม่ให้ผนังลำไส้ขับสารหล่อลื่นออกมา และเมื่อเราต้องการอุจจาระก็จะถูกขัดขวางจนทำให้อุจจาระไม่สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างสะดวก ก่อให้เกิดอาหารท้องผูกได้ในที่สุด

และหากเราเกิดอาการท้องผูกแล้ว นอกจากจะทำให้อึดอัดร่างกาย ไม่สามารถขับถ่ายได้อย่างสะดวก ยังก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วย และเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นในส่วนนี้เองจึงเป็นประโยชน์ของดีท็อกซ์เพื่อล้างคราบตะกรัน ของเสีย และสารพิษที่ตกค้างอยู่บนผนังกระเพาะออกมาให้หมด

โดยการดีท็อกซ์ด้วยการสวนลำไส้นั้น จะเป็นการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพในการล้างลำไส้ มีการควบคุมอุณหภูมิ แรงดัน และปริมาณของน้ำได้เป็นอย่างดี เพิ่มความปลอดภัยในการดีท็อกซ์ได้มากที่สุด และเมื่อเราดีท็อกซ์ล้างลำไส้เรียบร้อยแล้ว รับรองได้เลยว่าระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ลำไส้ และระบบการขับถ่ายของเราจะกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน

แนะนำเทคนิคดีท็อกซ์ลำไส้อย่างธรรมชาติด้วยการรับประทานอาหาร

แนะนำเทคนิคดีท็อกซ์ลำไส้อย่างธรรมชาติด้วยการรับประทานอาหาร

เมื่อพูดถึงการดีท็อกซ์ลำไส้ด้วยการสวนลำไส้นั้น เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องกลัวและไม่กล้าทำอย่างแน่นอน เพราะอาจกลัวผลข้างเคียงของดีท็อกซ์ แต่ด้วยความอันตรายจากการสะสมของของเสียหรือสารพิษต่าง ๆ บนผนังลำไส้ จึงทำให้เราจำเป็นต้องทำการดีท็อกซ์ แต่การดีท็อกซ์นั้นจะไม่ได้มีวิธีการสวนลำไส้อย่างเดียวเท่านั้น

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีกากใยสูง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการดีท็อกซ์ลำไส้ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหากใครไม่ต้องการสวนล้างลำไส้ ทุกวัน และต้องการดีท็อกซ์ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรับประทานอาหาร มาดูกันเลยว่าควรรับประทานอาหารในลักษณะไหนดีที่สุด

  • รับประทานอาหารที่มีคาร์บต่ำ และมีน้ำตาลต่ำ: โดยปกติแล้วร่างกายของเราต้องการสารอาหารครบ 5 หมู่ แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่า การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลมักจะทำให้ลำไส้ของเราอักเสบได้ง่าย ดังนั้นการเลี่ยงไปรับประทานอาหารที่มีคาร์บต่ำและน้ำตาลต่ำ หรือการรับประทานอาหารแบบโลว์คาร์บ ซึ่งจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารประเภทแป้งให้น้อยลง จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ลำไส้ของเราอักเสบน้อย เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่ายได้ดีขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย
  • รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติกส์ และโพรไบโอติกส์: อาหารประเภทนี้จะเป็นอาหารจำพวกของหมักของดอง ไม่ว่าจะเป็น แตงกวาดอง กิมจิ ถั่วหมัก หรือโยเกิร์ต ล้วนเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารได้ดีที่สุด เพราะอาหารในกลุ่มนี้จะช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ดี และยังช่วยล้างลำไส้ได้อีกด้วย
  • ดื่มน้ำในปริมาณมากยิ่งขึ้น: โดยปกติแล้วเราจำเป็นต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้วต่อวัน แต่ทุกคนรู้หรือไม่ว่า ร่างกายของเราสามารถรับน้ำได้มากกว่า 3 ลิตรเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำในปริมาณที่มากขึ้น จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำมากเพียงพอ และน้ำจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี อุจจาระจะนิ่มและขับถ่ายได้สะดวก

วิธีดีท็อกซ์ลําไส้ จะเป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ได้ดีขึ้นกว่าเดิมและยังช่วยชำระล้างของเสียต่าง ๆ ที่สะสมอยู่บนผนังลำไส้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในปัจจุบันมีวิธีการดีท็อกซ์ลำไส้หลากหลายวิธีด้วยกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เราสามารถเลือกวิธีดีท็อกซ์ได้ตามความเหมาะสม แต่รับรองได้เลยว่าไม่ว่าเราจะเลือกวิธีไหน ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่ายได้ดีอย่างแน่นอน

อ้างอิง:

Detox สวนล้างลำไส้…กำจัดของเสียและสารพิษ. https://th.yanhee.net/หัตถการ/ดีท็อกซ์-สวนล้างลำไส้/

Author

สวัสดีค่ะ ชื่อเล่น แพน นะคะ จบการศึกษาจาก Fashion, Textiles and Technology Institute (FTTI), University of the Arts London ค่ะ เป็นคนชอบติดตามวงการแฟชั่นและเทรนด์การแต่งหน้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ นอกจากนี้เป็นยังชอบท่องเที่ยว ชอบไปมิวเซียม และออกกำลังกายโดยเฉพาะเล่นโยคะและพีราทิส ในเวลาว่างชอบผ่อนคลายด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม จิบกาแฟอุ่น ๆ ในคาเฟ่

Write A Comment